ufabet ทีเด็ด บอล วันนี้ ราคา บอล

สอง “จูดาส” ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบยี่สิบปี

     ชื่อนี้กลายเป็น หนึ่งในชื่อที่ “ต้องสาป” ของคนทั้งโลก เมื่อนี่คือชื่อของ “จูดาส อิสคาริโอท” หนึ่งใน 12 สาวกของ องค์พระเยซู และคือผู้ทรยศต่อพระองค์ ด้วยการแจ้งทหารในการจับตัวพระองค์ เพื่อแลกเงินรางวัล ก่อนที่ พระเยซู ต้องโทษถูกตรึงไว้บนกางเขน และนั่นทำให้ “จูดาส” คือชื่อแห่งความเกลียดชัง ชื่อของบุคคลผู้ทรยศ และเมื่อคุณเจอคนเช่นนั้น คุณจะถูกระบุว่า คุณคือ จูดาส ไม่เว้นแต่ในวงการฟุตบอล

     ในวงการฟุตบอล มี นักเตะ หลายคน ถูกตราหน้าว่าเป็น “จูดาส” เมื่อพวกเขา เหล่านั้น ย้ายออกจากสโมสรหนึ่ง ไปยัง สโมสรคู่อริ โดยตรง และหลายต่อหลายครั้ง ไม่เคยจบลงด้วยดี แม้แต่ครั้งเดียว และเรื่องราวของ “จูดาส” ที่รุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งเรามองว่า 2 คนนี้ คือ “ที่สุด” แล้วตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา

     โซล แคมป์เบลล์ กัปตันทีม ดีกรีกองหลังทีมชาติอังกฤษ ของสเปอร์ส ตัดสินใจย้ายไปร่วมงานกับ อาร์เซนอล  อริอันดับหนึ่งของพวกเขา ในแบบไม่มีค่าตัว แน่นอน ไม่มีอะไรจะแสบสันต์ไปกว่านี้อีกแล้ว สำหรับแฟนสเปอร์ส พวกเขาจัดหนัก กับแคมป์เบลล์ ในเกมแรกที่ลงเล่นใน ไวท์ ฮาร์ท เลน พร้อมกับป้าย “จูดาส”ขนาดใหญ่ ที่ประณาม การทรยศ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสองทีมจาก ลอนดอนเหนือ

     มันอาจไม่ใช่ครั้งแรก ที่เคยเกิดเหตุการณ์ย้ายทีม ระหว่าง สองสโมสรแห่งนี้ แต่ โซล แคมป์เบลล์ ในเวลานั้น คือกัปตันทีม คือ นักเตะ เยาวชนของสโมสรสเปอร์ส ที่พวกเขาภาคภูมิใจ คือความหวังในการกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งของทีม

แคมป์เบลล์ ย้ายทีม

     อย่างไรก็ตาม แคมป์เบลล์ เลือกปฏิเสธสัญญาใหม่ พร้อมกับข่าวมากมาย กับสโมสรในต่างแดน สุดท้าย เขากลับเลือกย้ายไปใกล้มาก เพียงไม่กี่กิโลเมตร พร้อมชูเสื้อของ อาร์เซนอล รับค่าเหนื่อย 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ กลายเป็น นักเตะ คนแรก ที่รับค่าเหนื่อยระดับ หกหลัก และมันเกิดขึ้นในปี 2001

     การย้ายของ แคมป์เบลล์ กลายเป็นที่วิจารณ์อย่างรุนแรง ด่าทอ เหยียดหยาม เขาอย่างรุนแรง จากแฟนบอล สเปอร์ส เสื้อของเขาไม่ต่างตาก “ขยะ” ในสายตาของแฟนบอล สเปอร์ส  

     แคมป์เบลล์ อยู่กับ อาร์เซนอล นานถึง 5 ฤดูกาล ได้แชมป์ พรีเมียร์ ลีก 2 สมัย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการทำ “ไร้พ่าย” ตลอดฤดูกาลด้วย ขณะที่เอฟเอ คัพ ได้ถึง 3 สมัย และเขากลายเป็น หนึ่งเดียว ของสโมสร ที่สามารถทำประตูได้ใน แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ในปี 2006 ถึงวันนี้เขายังคงไม่เป็นที่ต้อนรับของแฟนบอล สเปอร์ส แม้จะผ่านมานานร่วม 20 ปีแล้วก็ตาม และคงไม่มีวันเป็นเช่นนั้น

หลุยส์ ฟิโก้ ย้ายทีม

     ชื่อของ หลุยส์ ฟิโก้ คงไม่เป็นที่จดจำได้ดีมากแบบทุกวันนี้ หากไม่เกิด ดีลสะท้านวงการต้อนรับ สหัสวรรษใหม่ ในปี 2000 ไม่มีอะไรยิ่งใหญ่ไปกว่า เมื่อมีการ ทำลาย ค่าตัว อันเป็น สถิติโลก เกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้น มันคือ การย้ายข้ามกันโดยตรงระหว่างสองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการฟุตบอล สเปน

 

เหตุของเรื่อง เกิดจากชายที่ชื่อว่า  “ฟลอเรนติโน่ เปเรซ”

     เปเรซ ตัดสินใจลงเลือกตั้ง เป็นประธานสโมสร เรอัล มาดริด คนใหม่ โดยหนึ่งในนโยบายหาเสียงของเขาคือ “หากเขาได้รับเลือก เขาจะซื้อหลุยส์ ฟิโก้ กองกลาง บาร์เซโลน่า มาเล่นให้กับ เรอัล มาดริด” หากไม่สำเร็จ ค่าตั๋วปีของสมาชิกสโมสรจะฟรีไปเลยหนึ่งปี นั่นทำให้เขาได้รับการเลือกตั้ง เหนือ ลอเรนโซ่ ซานซ์ ประธานสโมสรคนเก่าของเรอัล มาดริด ในที่สุด

     การซื้อตัว หลุยส์ ฟิโก้ เป็นดีลใหญ่มาก เพราะนอกจากจะเป็นนักเตะสำคัญของอริอย่างบาร์ซ่าแล้ว เขายังพ่วงด้วยตำแหน่ง กัปตันทีมที่อายุเพียง 27 ปี เรียกว่า สมบูรณ์พร้อมมากสำหรับการขึ้นชั้นสู่ตำนานสโมสร

ค่าตอบแทน

     “62 ล้านยูโร” คือตัวเลขที่ได้รับการจารึกเอาไว้ว่าเป็นค่าตัวนักฟุตบอลที่แพงที่สุดในโลกต้อนรับสหัสวรรษใหม่ มันคือตัวเลขฉีกสัญญาที่ บาร์เซโลน่า ตั้งเอาไว้ในสัญญาของ ฟิโก้ ซึ่งเรอัล มาดริด กล้าฉีกมันเพื่อนำเขามาสวมชุดขาวของเรอัล และเขากลายเป็นจุดเริ่มต้นโปรเจคต์โคตรทีมแห่งกาแล็คซี่ หรือที่เรารู้จักกันในนามของ “กาลาติกอส” ที่เรอัล มาดริด สร้างขึ้น

     การย้ายทีมที่เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องของแฟนบอลเรอัล มาดริด กับสตาร์หมายเลข 10 คนใหม่ เต็มไปด้วยเสียงสาปแช่งของสาวกบาร์เซโลน่า ที่รับไม่ได้กับการโดนหยามเหยียดกันถึงที่ขนาดนี้ ทำให้การเจอกันของทั้งสองทีมที่ คัมป์ นู นับจาก ฟิโก้ ย้ายไปร่วมทีม คือสงครามขนาดย่อม

     “ไอ้คนทรยศ” “จูดาส” “หน้าไม่อาย” ไปจนถึงข้อความอีกมากมายส่งตรงถึงเขาอย่างต่อเนื่อง ไม่รวมถึงไฟแช็ค, ซองบุหรี่, ขวดน้ำ, ผลไม้ หรือกระทั่ง “หัวหมู” ถูกปาลงมาในสนามทุกครั้งที่เขาเดินไปข้างสนามเพื่อเตะมุม และเกมนั้นจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของเรอัล มาดริด 0-2

     อย่างไรก็ตาม ฟิโก้ กับเรอัล มาดริด ในปีนั้นจบด้วยการได้แชมป์ ลา ลีกา และฟิโก้ ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี “บัลลง ดอร์” ไปครอง โดยตลอดการเล่นกับเรอัล มาดริด 5 ฤดูกาล เขาได้แชมป์ ลา ลีกา 2 สมัย, แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และ ยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ 1 สมัย

     นี่คือ 2 ตัวอย่างของ “จูดาส” ในวงการฟุตบอล ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา และเชื่อว่าในอนาคตจะมี “จูดาส” ในสายตาของแฟนบอลเกิดขึ้นมาอีกอย่างแน่นอนในอนาคต เมื่อฟุตบอล ยังคงแข่งขัน เมื่อ กับ ความภักดี ถูกท้าทายด้วย ความสำเร็จ และเงินทอง ที่รออยู่ตรงหน้า

Ads ทีเด็ด บอล เต็ง วันนี้ ฟุตบอล วันนี้